เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ พ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม เริ่มต้นตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ระดับพื้นฐานนี่ สมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปเที่ยวป่าช้า แล้วพอพระไปเที่ยวป่าช้าไปพิจารณาศพแล้วเป็นพระอรหันต์ไง เป็นพระอรหันต์แล้วก็เป็นประเพณีของเรามา เห็นไหม ให้พระนี่ไปพิจารณาศพ

เวลาเราไปชักผ้าบังสุกุลกันนะ เจตนาของศาสนาคือเป็นโศลก เห็นไหม ให้พระนี่ไปพิจารณาศพ แต่ตอนนี้มันเป็นแค่พิธีไง เอาผ้าไปพาดกัน แล้วก็ไปชักผ้ากันที่ศพ มันเป็นแต่พิธี มันเป็นแต่เปลือก

แต่ของจริงมันมีอยู่ ของจริงคือว่าเวลาสมัยพุทธกาลนะ พระท่านไปพิจารณาซากศพ เพราะว่าอะไร เพราะมันมีความผูกพัน จิตนี่มันมีความต้องการ มีความผูกพัน พอไปเจอพิจารณาซากศพ มันแทงเข้ามาที่ใจไง นี่เพราะเหตุนั้น เพราะพระเคยพิจารณาแล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ก็เลยให้มีประเพณี เห็นไหม ประเพณีชักผ้า ประเพณีนะ มันทำประเพณีมันก็เป็นเปลือกๆ ไป

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อสุภะๆ นะมันเกิดจากใจ ใจเราเป็นอสุภะ กว่าจะเห็นอสุภะได้ต้องจิตนี้มันสงบก่อน แล้วจิตของเรามันต้องควรแก่การงาน พอควรแก่การงานคือคนไม่ประมาทเลินเล่อ เห็นไหม คนประมาทเลินเล่อทำงานได้ไหม? คนประมาทเลินเล่อทำอะไรก็ทำแต่ความผิดพลาดไป แม้แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งสุดท้ายนะ “ภิกษุทั้งหลาย จงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ไม่ให้ประมาทนะ! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ประมาทเลย เป็นปัจฉิมโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้ประมาทนะ

ถ้าไม่ประมาทนี่ ไม่ประมาทเวลาไปพิจารณาซากศพ ไปพิจารณาอสุภะ เวลามันไปถึงป่าช้า เห็นไหม ไปเพ่งดูแล้วหลับตา ภาพนั้นติดตาไหม? ถ้าติดตาให้กลับมา ถ้ากลับมามันตั้งได้ก็เป็นอสุภะขึ้นมา เห็นไหม ถ้าไปแล้วมันห่างไกล ให้เอาสิ่งชิ้นไหนที่มันสมควร เพราะสมัยโบราณเขาไม่หวงกัน ศพเขาไม่เผากัน เขาทิ้งกัน เขาทิ้งศพเหมือนป่าช้า แต่เขาไม่ฝังกัน เขาไปทิ้งกันไว้ แล้วนี่ไม่มีเจ้าของ ไปเอาไม่เป็นการลักศพหรอก ไม่มีการผิดกฎหมาย

ถ้าจะเอาสิ่งใดมา ให้เอาไม้คีบมา อย่าไปคุ้นเคย ที่เราเป็นทุกข์เป็นร้อนกันอยู่นี่เพราะความคุ้นเคย เช่น พ่อแม่กับลูกนี่สั่งสอนกันแทบไม่ได้เลยเพราะอะไร เพราะมันสายบุญสายกรรม เห็นไหม ลูกจะดื้อกับพ่อแม่เพราะอะไร เพราะพ่อแม่นี่รักจริง พ่อแม่นี่รักลูก รักลูกมากแล้วจะสั่งสอนลูก ลูกก็รู้ว่าตรงนี้เป็นข้อต่อรอง เวลาเรามีลูกเล็กๆ ลูกร้องไห้เราก็ต้องรีบ.. คือว่านี่มันมีการต่อรองกัน

“ไม่ให้คุ้นเคย” ความคุ้นเคย ความชินชา ความประมาท นี่มันเป็นทางออกของกิเลสทั้งหมดล่ะ แล้วให้เอาไม้คีบมา อย่าไปคุ้นเคยกับเขา นี่ก็เหมือนกัน ในการพิจารณาอสุภะของเรา พระกรรมฐาน เหมือนกับการศึกษาในสมัยปัจจุบันนี้ ไปศึกษากันมาเพื่อเอากระดาษกันแผ่นเดียวไง การศึกษาแล้วมันไม่มีความรู้มาตามวิชาการ

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ในปัจจุบันนี้ตั้งขึ้นมา เห็นไหม ต้องมีสำนักปฏิบัติ เวลาอบรมแล้วจะได้ใบประกาศ นี่ใบประกาศ ไปเอากระดาษกันใบหนึ่ง นี่ก็เหมือนกัน อสุภะไปถ่ายรูปเก็บไว้ ไปทำอะไรเก็บไว้

มันจะเป็นประโยชน์นะ ประโยชน์กับที่ว่าเรานี่ถ้าเราคิดถึงธรรมะ เห็นไหม เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปริยัติ เห็นไหม เราคิดถึงธรรม ตรึกในธรรมนี่มันก็สะเทือนใจ มันก็สะท้อนใจแล้ว ตรึกในธรรม มันเริ่มตรึกในธรรม เห็นไหม ตรึกในธรรมแล้วมันก็สะเทือนใจ สะเทือนใจนี่ทำให้เราไม่ทำความผิดพลาด

ไอ้เรื่องการรูปอสุภะ มันเป็นว่าสิ่งนี้มันทำให้สลดสังเวช คนเราให้คิดถึงความตาย เห็นไหม มรณานุสติ ให้นึกพุทโธ พุทโธนี่อีกอันหนึ่ง เวลานึกถึงความตาย ของเราต้องตายๆๆ นี่ ตายหนึ่ง เห็นไหม ขนาดว่าตายๆ คนคิดเรื่องตายไม่ได้เลยนะ พอคิดเรื่องตายแล้วมันสลดสังเวช มันแบบว่ามันเศร้าสร้อย มันคิดไม่ได้ อันนั้นก็ไม่ตรงกับจริตใช่ไหม บางคนคิดถึงความตายมันจะไม่ประมาท มันจะไม่เห่อเหิม เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับเขา

อสุภะก็เหมือนกัน รูปอสุภะนี่มันเป็นหลักในศาสนาว่าคนเรานี่เกิดมาต้องตาย มันเป็นการเตือนกัน มันเป็นฆราวาส เป็นสิ่งต่างๆ แต่พระเราควรทำอย่างนั้นไหม? พระเรามันควรจะให้อสุภะเกิดมาจากใจไง แล้วอย่าให้เขาประมาทเลินเล่อสิ ไม่ใช่เอาอสุภะกันแล้วก็มาหัวเราะยิ้มกัน มาดูกัน มันเป็นของสนุกนะ มาดูเป็นของสนุก มาดูเป็นการเพลิดเพลิน มันเป็นความประมาทเลินเล่อนะ ถ้าประมาทเลินเล่ออย่างนี้ มันเกี่ยวกับการปฏิบัติไหม?

เราถึงบอกถ้าอย่างนั้นมันเป็นความประมาทเลินเล่อนะ ถ้าประมาทเลินเล่อ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในครั้งสุดท้ายใช่ไหม “ภิกษุทั้งหลาย เธออยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ไม่ประมาทนะ! ถ้าไม่ประมาท เราจะไม่คุ้นเคยกับอารมณ์ของตัวเอง จะไม่คุ้นเคยกับสิ่งต่างๆ เลย แต่นี่มันไปคุ้นเคยแล้วก็เอามาเก็บไว้ในตัวเอง เป็นการถือว่าฉันมีแล้วนะ เหน็บไว้กับตัวเลยนะ เราถึงบอกคล้องให้เต็มตัวเลย มันจะเป็นประโยชน์ไปไหม ถ้าหัวใจเราไม่เป็นนะ

เราไม่ใช่ทำกันเพื่อจะเอาใบกระดาษ เราไม่ได้ทำกันเพื่อจะให้ประมาทเลินเล่อ เราถึงบอกว่าเราพูดจริง เราพูดสภาวะแบบนั้นเลยเพราะเราเตือนไง เราเตือน เห็นไหม เตือนหนึ่ง แล้วก็เป็นการเชิดชูครูบาอาจารย์ของเรา เพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ของเรา ท่านเคยประพฤติปฏิบัติมา ท่านไม่ประมาทนะ นี่ไม่ประมาท แล้วท่านไม่ทำสภาวะแบบนั้น สิ่งนี้ถ้าเป็นเรื่องของโลก ไปแจกกันที่สวนแสงธรรม ก็สวนแสงธรรมเขาก็แจกกัน พิมพ์มาแล้วก็แจกกันก็เป็นบุญๆ ไง

ดูสิ เวลาเราไปแจกหนังสือกันสมัยก่อน เห็นไหม หลวงตาบอกเลย “ไม่ให้แจก! เพราะเรามั่นใจว่าเราสอนไม่ผิด” หลวงตาสอนไม่ผิด แล้วที่เขาเอาหนังสือมาแจกๆ กัน หนังสือของใคร? ไม่ให้แจก! ไม่ให้แจก! ท่านเอาธรรมของท่านแจกเอง

นี่ขนาดจะบอกว่าไม่ให้แจกเพราะอะไร เพราะแผนที่มันผิด คำสอนนั้นมันชี้ไปผิด เข็มทิศมันผิดมันจะชี้ไปไหน เข็มทิศมันต้องถูกก่อนมันถึงชี้เข้ามาที่ใจ แล้วนี่ก็เหมือนกัน แจกอสุภะๆ ถ้าเป็นเรื่องของโยม ท่านก็เฉยนะ แต่ถ้าเอามาสิ่งนี้เป็นสรณะ เอาสิ่งนี้เป็นของหลักความจริง มันไม่ใช่! มันไม่ใช่หรอก!

หลักความจริงมันเกิดจากใจ แล้วหลักความจริงมันจะเกิดจากภายใน ถ้าเกิดจากภายในขึ้นมา เราจะต้องตั้งสติของเราให้ได้ ต้องทำใจของเราให้ได้ เราอย่าไปติดมัน เห็นไหม อย่างเช่น เราจะมาที่นี่ ถ้าเราไปติดอยู่ในตลาด เราไปติดอยู่ที่ทางรถไฟ มันจะเข้ามาที่นี่ได้ไหม? นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันได้กระดาษอสุภะแผ่นอสุภะมามาที่ใจ มันว่าฉันได้แล้วๆ มันจะเป็นไปได้ไหม เหมือนนกเลย ของกูๆๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย

อันนี้มันเป็นความประมาท พอเป็นประมาทปั๊บ ถ้าออกไป เห็นไหม ผู้ที่เขามีหูมีตานะ เขาจะติเตียนได้ ว่าทำไมพระเรานี่มีแต่ใบกระดาษกัน ทำไมไม่มีวุฒิภาวะเลย นี่เตือนอย่างนี้ต่างหาก เพราะว่าเราจะเข้าไปเป้า อันนี้มันเป็น เห็นไหม อย่างเช่นถ้าพระเข้มแข็งนัก ถ้าพระดีนัก พระก็อย่าฉันอาหารสิ พระทำไมต้องบิณฑบาตอยู่ นี่เวลากิเลสมันว่าๆ อย่างนั้นนะ ถ้าแน่จริงก็ไม่ต้องมายุ่งกับโยมเขาสิ นี่ว่ากันไป

มันเป็นประโยชน์ ๒ ฝ่ายนะ เวลาถ้าเราต้องการพระสงฆ์ เห็นไหม เวลานักขัตฤกษ์ขึ้นมา เราจะไปนิมนต์พระ เราหาพระแทบเป็นแทบตายนะ กว่าเราจะได้พระมาทำบุญ มันจะมีพระให้เราทำบุญเหรอ พระจะมาทำบุญ เราได้ประโยชน์จากการทำบุญของพระ ทำไมพระอย่ามายุ่งกับโยมสิ อย่ายุ่งกับโยมสิ..

เราแสวงหาต่างหาก เราอ้อนวอนต่างหาก เราขอเองต่างหาก เห็นไหม เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง! เห็นสมณะ สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ มันเป็นมงคลกับชีวิต มันเป็นมงคลกับชีวิตเราเลย แล้วจะบอกเราไม่ไปยุ่งกับท่าน มาโปรดนี้โปรดสัตว์ๆ มันโปรดตัวเองได้หรือยัง? ถ้ามันโปรดตัวเองได้ มันไม่ติดในตัวมันเอง มันโปรดสัตว์ได้

สัตตะคือผู้ข้อง สัตตะคือจิตของเรานี่มันสัตว์ มันเป็นสัตว์ มันข้อง มันเข้าไปในวัฏฏะ มันต้องเกิดต้องตายในวัฏฏะนี้ เห็นไหม สมณะคือที่ว่าอย่างน้อยก็ ๗ ชาติเพราะโสดาบันนี่ไม่เกิดอีกแล้ว ไม่เกิดในวัฏฏะอีกแล้ว จะเกิดในอีก ๗ ชาติ ไม่เกิดในวัฏฏะคือเกิดเวียนไปไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่มีขอบเขตของมัน นี่สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓

“ถ้าแน่จริงก็อย่ามายุ่งกับเขาสิ” ไม่ยุ่งกับเขา.. นี่เวลากิเลสมันคิดคิดอย่างนั้นไง ถ้าที่สุดแล้วนะ เวลาว่างแล้วต้องออกไป

นี่ขนาดเด็กเมื่อวานเขาบอกเลย “พระอรหันต์ต้องเรียบร้อย พระอรหันต์ต้องแสดงกิริยาไม่ได้”

เราบอก “อย่างนั้นพระอรหันต์ไม่ต้องหายใจ! ถ้าพระอรหันต์หายใจ เพราะจมูกมันขยับ พระอรหันต์ไม่ต้องหายใจเลย”

นี่ความคิดของโลก เห็นไหม ว่ามันคิดเป็นพระอรหันต์แล้วมันต้องเป็นอีกแบบหนึ่งเลย เราบอก “พระอรหันต์มันอยู่ที่กึ๋นโว้ย!” กึ๋นพระอรหันต์นะ เวลามันแสดงออกมากึ๋นมันอยู่ตรงนั้น มันไม่ได้อยู่ที่กิริยาหรอก กิริยานี่ถ้าพูดถึงสิ่งที่ดีงาม เห็นไหม เราสร้างขึ้นมาก็ได้ หุ่นยนต์นะให้มันสวยงามขนาดไหนก็ได้ แล้วมันเป็นไปตามนั้นไหม?

มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันอยู่ที่ปัญญา ปัญญารู้แจ้ง ถ้าปัญญารู้แจ้ง สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับศาสนา

นี่ที่ว่าธรรมที่มีชีวิตไง อย่างครูบาอาจารย์เรา อย่างเช่นหลวงปู่มั่นลงมา ท่านมีชีวิตอยู่นะ ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ท่านสอนได้หมดล่ะ ถามมาสิ ปัญหานี่ถามมา เพราะอะไร เพราะเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เราไปหาหมอ เห็นไหม โรคอะไรก็แล้วแต่แล้วเราไปหาหมอ หมอรักษาให้เรา ถ้าหมอรักษาไม่ได้ โรคนี้รักษาไม่ได้ต้องตายไป

แต่กิเลสรักษาได้หมด ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่รู้จริง เห็นไหม รักษาได้หมด เพราะการติดข้องของใจ ขอให้บอกมาๆ เห็นไหม นี่หาครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เป็นอย่างนั้น เห็นไหม นี่มันเป็นธรรมะที่มีชีวิตไง มันถึงเคลื่อนไหวได้ไง มันถึงไม่เป็นความเรียบร้อยที่ว่าเป็นในหนังสือพระไตรปิฎก

พระไตรปิฎกนี่เป็นธรรมะ เป็นกิริยาของธรรม จะว่าธรรมะที่ตายแล้วก็ไม่ใช่ เพราะตามธรรมะ ธรรมนี่มันเป็นธรรม เห็นไหม สิ่งที่ธรรมที่มีอยู่ แต่มันไม่มีชีวิต มันไม่สามารถสื่อความหมายกับเราได้ แล้วเราก็ไปตีความกัน แล้วเราก็ไปตู่กันนะ เป็นอย่างนั้นๆ ไปกล่าวตู่พุทธพจน์ ไม่เป็นสัจจะความจริง แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา มันกล่าวตู่ได้ไหม? มันเป็นสัจจะความจริงทั้งหมด ใจนี่มันเสมอกันไป

“เราถึงไม่ได้ปฏิบัติเอาใบกระดาษกันไง ปฏิบัติเอาความรู้แจ้งไง” ถ้าความรู้แจ้ง สิ่งนี้เราถึงบอกว่า “ที่ทำมาเป็นบุญกุศลก็ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เอานั้นเป็นสรณะ ไม่ใช่เอาสิ่งนั้นเป็นสัจจะความจริง เราไม่ได้ปฏิบัติกันเพื่อเอากระดาษนะ”

ในพรหมจรรย์ของพระ เห็นไหม ปฏิบัติมาไม่ใช่จะไปแก้ทิฏฐิใคร ไม่ใช่จะตั้งตนเป็นอาจารย์ของใคร ไม่ใช่ที่จะไปสั่งสอนใคร ไม่ใช่ทั้งหมดเลย! ปฏิบัติเพื่อใจของเรา ปฏิบัติเพื่อทิฏฐิของเรา ปฏิบัติเพื่อความจริงของเรา เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ถ้าตนมันแก้ไขตนได้แล้ว มันจะไปติดข้องที่ไหน?

ถ้าตนแก้ไขตนได้แล้ว ใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจของเรามันรู้แจ้งแล้ว มันจะไปเป็นสภาวะสิ่งใด แล้วทำไมไปประมาทเลินเล่อกัน ใจของตัวโยนทิ้งเลย ไปเอาไอ้โทรศัพท์มือถือไปถ่ายอสุภะมาเก็บไว้ในย่ามกัน แล้วมาอวดกันว่านี่อสุภะๆ มันบ้าขนาดไหน! มันบ้าของมันแล้วนะ แล้วมันยังไม่รู้สึกตัวเลย แล้วพอพูดไปนี่บอกว่าสิ่งนั้น..

มันไม่เป็นประโยชน์หรอก! ถ้าคนนะ เทคโนโลยีมันมีประโยชน์กับการสื่อสาร มันเป็นการข้อความ มันมีประโยชน์ก็ใช้แค่นั้น อย่าบอกว่าสิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับการปฏิบัติ เห็นไหม ถ่ายรูปของอสุภะเก็บไว้ จะเอาเมื่อไหร่ก็ได้ มันประมาทเลินเล่อขนาดนั้นไง

อสุภะที่ใจเกิดแสนยาก การเกิดนี่แสนยาก ผู้ที่มีบุญญาธิการต้องทำจิตสงบมหาศาลเลย มันถึงจะเกิดอสุภะสัจจะความจริง แล้วพิจารณาอสุภะ อสุภะแก้สุภะ เห็นไหม แก้กามราคะ สุภะ-อสุภะมันเกิดกามราคะ มันเกิดรักสวยรักงาม มันปรารถนา แรงปรารถนา สิ่งที่ไปทำลายแรงปรารถนาอันนั้นมันอยู่จากภายใน มันต้องไปอีกมากมายมหาศาลเลย

แต่เริ่มต้นขึ้นมา เราก็ไปทำให้ภาพมันพร่าไปหมดแล้ว แล้วยังอ้างอีก เห็นไหม บอกสำนักของครูบาอาจารย์ เราเสียใจก็ตรงที่ว่ามันสำนักของครูบาอาจารย์ ออกจากสำนักของครูบาอาจารย์ สำนักของครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่เขาเคารพนับถือไง แล้วไอ้พวกรอบข้างมันไปประจานตัวเองกันอย่างนี้ ว่านี่เป็นอสุภะๆ อสุภะบ้าบอคอแตกของมันอย่างนี้

แล้วนี่ครูบาอาจารย์รู้ไหม? ให้ครูบาอาจารย์ว่าออกมา ผิดอะไรผิด ถูกเป็นถูกนะ เพราะอะไร? เพราะสิ่งที่ว่ามันเป็นเรื่องของทาน เห็นไหม ทาน เรื่องระดับของทาน เรื่องระดับของศีล เรื่องระดับของสมาธิ เรื่องระดับของปัญญา ระดับของการวิปัสสนามันก็มีเฉพาะ มันก็มีเยอะ

แต่ถ้าเป็นบุญกุศลที่ว่าเขาจะทำของเขา ก็เป็นเรื่องของเขา แต่เราไม่สมควรจะไปส่งเสริมเขาให้เขาประมาท ให้เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง เหมือนกับเราเป็นไข้ เราเป็นโรค เราไม่รักษาตัวเราเอง จะเอาแบบยาไปแจกชาวบ้าน แจกคนนู้น แจกคนนี้ แล้วตัวเองนะเป็นไข้จะตายอยู่แล้วไม่ดูใจของตัวเอง

นี่ตีให้กลับมาตรงนี้ แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับตรงนี้ ถ้าตรงนี้ประโยชน์ขึ้นมาแล้ว การปฏิบัติมันก็ไม่ประมาทเลินเล่อ มันก็เห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นไหม สิ่งนี้มันถึงเป็นสัจจะความจริง ปฏิบัติต้องเป็นอย่างนี้ อริยสัจเกิดตรงนี้ แล้วปฏิบัติอย่างนี้ สำนักปฏิบัติต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่สำนักปฏิบัติมีแต่แห่กันไปๆ แล้วก็ไม่มีหลักมีเกณฑ์อย่างนั้น แล้วก็จะบอกว่าสงบพูดขนาดนี้เชียวเหรอ? ใช่! เอวัง